ปปง. จวก “สังศิต” รู้ไม่จริง กรณีสินบนโรส์ลอยซ์กับการทำงานของ ปปง.

UPDATE 08 Feb 2017

ปปง. จวก “สังศิต” รู้ไม่จริง กรณีสินบนโรส์ลอยซ์กับการทำงานของ ปปง.
ชี้ไม่เกิด “สึนามิ” ทางเศรษฐกิจ และไม่กระทบการประเมินประเทศจาก FATF

8 กุมภาพันธ์ 2560 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เปิดเผยว่า ตามที่ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบรามการฟอกเงิน ( คณะกรรมการ ปปง.) ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชน ประเด็นเรื่อง สินบนโรลส์รอยซ์กับการดำเนินงานของสำนักงาน ปปง. อาจส่งผลกระทบต่อการประเมินของ FATF ในเดือนพฤษภาคม 2560 จนอาจเกิดผลกระทบเป็น “สึนามิ” ทางเศรษฐกิจได้นั้น การให้สัมภาษณ์ดังกล่าว มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อองค์กร สำนักงาน ปปง. ขอส่งข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและขอความอนุเคราะห์เผยแพร่ข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อสาธารณชนต่อไป ดังต่อไปนี้

1. สถิติการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 1,200 รายแต่ศาลให้เป็นไปตามคำขอแค่ 12 ราย

สำหรับสถิติการยื่นคำร้องต่อศาล สำนักงาน ปปง. มีการยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ทรัพย์สิน    ตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 1,225 คดี ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 1,128 คดี คิดเป็นร้อยละ 92.08 ของคดีทั้งหมด และมีการนำเรื่องขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจำนวน 21 คดี ศาลฎีกามี    คำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตามคำร้องของสำนักงาน ปปง. จำนวน 18 คดี ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลของนายสังศิตที่ให้สัมภาษณ์ในรายการแต่อย่างใด

2. การปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

จากกรณีที่นายสังศิตได้ให้สัมภาษณ์ถึง “อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน” นั้น สำนักงาน ปปง. ขอเรียนว่าองค์การสหประชาชาติไม่มีการลงนามในอนุสัญญาดังกล่าวแต่อย่างใด น่าจะเป็นการกล่าวโดยรวมอนุสัญญา 3 ฉบับ คือ อนุสัญญาสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ซึ่งอนุสัญญาทั้ง 3 ฉบับได้กำหนดให้นำมาตรการการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาใช้ เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าว มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในหัวข้อการสนทนากรณีสินบนโรส์-ลอยด์เป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ซึ่งกำหนดให้ประเทศสมาชิกใช้มาตรการในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อยับยั้ง และป้องกันการทุจริต รวมถึงการยึด อายัด และริบทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริต ซึ่งทางสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว และสำนักงาน ปปง. ได้มีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพร้อมด้วยแล้ว

3. FATF มิใช่อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แต่เป็น“แนวทางการปฏิบัติที่ดี” ที่นานาประเทศนำมาใช้

สำหรับข้อแนะนำของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force หรือ FATF แม้มิใช่ “ข้อบังคับ” ให้ทุกประเทศ “ต้อง” ปฏิบัติตาม แต่ “ข้อแนะนำของ FATF” คือ “มาตรฐานสากล” หรือ “แนวทางการปฏิบัติที่ดี” ที่นานาประเทศนำมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายโดยครอบคลุมถึงมาตรการทั้งเชิงป้องกันและปราบปราม โดยอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ

แม้ว่าข้อแนะนำ FATF จะไม่มีสถานะเป็นอนุสัญญาและไม่มีสภาพบังคับในทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เป็นข้อแนะนำที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งกว่า 180 ประเทศ มีการนำมาตรฐานสากลนี้มาปฏิบัติ อีกทั้งมีสภาพบังคับทางอ้อม (Soft Law) โดยผ่านกระบวนการประเมินผลการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลของสมาชิก FATF หรือกลุ่มเครือข่ายต่อต้านการฟอกเงินของ FATF ซึ่งรวมถึงกลุ่มความร่วมมือเพื่อต่อต้านการฟอกเงินเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Group on Money Laundering - APG) ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่

โดยหากประเมินแล้วพบว่า ประเทศสมาชิกมีข้อบกพร่องจำนวนมากในการปฏิบัติตามมาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เช่น กฎหมายที่มีอยู่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิผล และไม่มีการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศอย่างเพียงพอ อาจส่งผลให้ประเทศนั้นถูกกำหนดรายชื่อเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงด้านการฟอกเงิน

สำนักงาน ปปง. ขอยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สำนักงาน ปปง. ดำเนินการและประสานงานกับทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องกับคดีต่างๆ อย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด ภายใต้กรอบกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเคร่งครัด ดังนั้น การดำเนินการทางคดีโดยเฉพาะคดีที่มีความสำคัญและอยู่ในความสนใจของประชาชนจึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง และไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดการดำเนินงานได้เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อรูปคดี ทั้งนี้ ได้มีหนังสือชี้แจงประเด็นดังกล่าวไปยังสถานีโทรทัศน์สปริงส์นิวส์แล้ว และขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าสำนักงาน ปปง. จะใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในการดำเนินการในคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างรอบคอบรัดกุม เพื่อมิให้กระทบสิทธิผู้สุจริต บนพื้นฐานของความยุติธรรม เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญต่อไป


****************************

VISITOR

  • 7
  • 3
  • 5
  • 1
  • 8
  • 2
  • 8
  • 6
  • 4
  • 2
  • 9
  • 2
  • 2
-->
  • Facebook
  • Twitter
  • instagram
  • Youtube
  • TikTok